2. ขั้นตอนการพัฒนาระบบ วัฏจักรในการพัฒนาระบบ แบ่งออกเป็น 6 ขั้นตอนคือ 2.1 System investigation เป็นขั้นตอนในการศึกษาความต้องการของผู้ใช้ซึ่งจะนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มากำหนดความต้องการของระบบและศึกษาความเป็นไปได้ของการพัฒนาระบบ กรณีที่สามารถพัฒนาระบบงานได้ตามความต้องการของผู้ใช้ จะดำเนินงานตามขั้นตอนขั้นต่อไป 2.2 System analysis เป็นขั้นตอนในการวิเคราะห์ในรายละเอียดถึงความต้องการต่างๆ ของผู้ใช้ระบบรวมทั้งความต้องการของหน่วยงานและระบบอื่นๆ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันในด้านการประมวลผลทางด้านข้อมูลเข้า (input) ข้อมูลออก (output) หน่วยความจำ (storage) และควบคุมให้ได้ตรงตามความต้องการซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของระบบ 2.3 System design เป็นขั้นตอนในการพัฒนาโปรแกรม โดยระบุถึงฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในระบบ เช่น อุปกรณ์และสื่อต่างๆ ที่ใช้ รวมทั้งซอฟต์แวร์ เช่น โปรแกรมและวิธีการดำเนินงาน (procedure) เป็นต้น บุคลากรในระบบ เช่น ผู้ใช้และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งออกแบบโครงสร้างของข้อมูลทั้งในด้านข้อมูลเข้าข้อมูลออก การประมวลผลข้อมูล หน่วยเก็บข้อมูล (storage) และฟังก์ชันควบคุมของระบบใหม่ 2.4 Software development เป็นขั้นตอนในการพัฒนาโปรแกรม โดยสร้างโปรแกรมขึ้นมาเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามที่ได้ออกแบบระบบไว้ 2.5 System implementation เป็นขั้นตอนของการใช้งาน โดยการนำเอาโปรแกรมที่พัฒนาสมบูรณ์ไปติดตั้งทำการทดสอบระบบรวมทั้งฝึกฝนให้ผู้ใช้ระบบสามารถปฏิบัติงานโดยใช้ระบบใหม่นี้ได้ 2.6 System maintenance เป็นขั้นตอนในการบำรุงรักษาระบบ โดยตรวจสอบหรือควบคุมการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์และแก้ไขระบบเมื่อต้องการ3. ระยะต่าง ๆ ของการเขียนโปรแกรม (The Stages of the Programming Process) การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ คือ วิธีการในการพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มของคำสั่งซึ่งสั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลผลหรือกิจกรรมต่างๆซึ่งเกี่ยวของกับการเขียนคำสั่งในภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็นหลายระยะคือ 3.1 Program analysis เป็นระยะของการวิเคราะห์ถึงจุดประสงค์ของงานประยุกต์ โดยกำหนดถึงหน้าที่ต่าง ๆ ที่จะให้โปรแกรมทำงานได้ 3.2 Program design เป็นระยะของการวางแผนและออกแบบถึงคุณลักษณะของข้อมูลเข้า (input) ข้อมูลออก (output) หน่วยเก็บข้อมูล วิธีดำเนินการประมวลผล 3.3 Program coding เป็นระยะของการเขียนคำสั่งภาษาโปรแกรมซึ่งเปลี่ยนจาก Program design เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ 3.4 Program verification เป็นระยะของการตรวจทานทดสอบโปรแกรมที่เขียนขึ้นให้ถูกต้องและสมบูรณ์ตรงตามความต้องการของระบบ ซึ่งเรียกว่า debugging และ testing 3.5 Program documentation เป็นระยะของการบันทึกรายละเอียดของการออกแบบและรายละเอียดของโปรแกรม โดยจัดทำเป็นคู่มือและเอกสารของระบบ 3.6 Program maintenance เป็นระยะของการปรับปรุงหรือสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นซึ่งอาจจะขยายขีดความสามารถหรือปรับปรุงให้ถูกต้องยิ่งขึ้น 4. การวิเคราะห์โปรแกรม (Program analysis) การวิเคราะห์โปรแกรมเป็นขั้นตอนแรกในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยการวิเคราะห์ถึงหน้าที่ต่างๆ ของโปรแกรมโดยแบ่งเป็นงานหรือฟังก์ชันฟังก์ชันหนึ่งอาจปฏิบัติการได้ก็ต่อเมื่อปฏิบัติงานอีกฟังก์ชันหนึ่งเสร็จก่อน การวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ ของโปรแกรมอาจเป็นปัญหาสั้นๆ พื้นฐานหรือปัญหาทางคณิตศาสตร์ซับซ้อน ซึ่งจะต้องกำหนดปัญหา (Problem Definition) และกำหนดรายละเอียดของปัญหา (Problem Specification) ในการปฏิบัติงานให้ชัดเจน ในกรณีที่งานประยุกต์เป็นงานประมวลผลข้อมูลการวิเคราะห์โปรแกรมควรวิเคราะห์ถึงข้อกำหนดรายละเอียดของซอฟต์แวร์ (Software Specification) ในระยะของการออกแบบ (Design Stage) หรือความต้องการในรายละเอียดของโปรแกรม (Program Specification) อย่างเช่น 1. Output โดยวิเคราะห์ว่าผลลัพธ์ที่ต้องการคืออะไรบ้าง 2. Input โดยวิเคราะห์ว่าข้อมูลที่สามารถเรียกหาได้มีอะไรได้บ้าง 3. Storage โดยวิเคราะห์ว่าข้อมูลจะเก็บ (store) หรือดึง (retrieved) หรือแก้ไขในหน่วยเก็บข้อมูลอะไร 4. Processing โดยวิเคราะห์ถึงวิธีการประมวลผลต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นการคำนวณทางคณิตศาสตร์ การเปรียบเทียบและกรรมวิธีอื่น ๆ 5. Control procedure โดยวิเคราะห์วิธีการควบคุมการทำงานของโปรแกรม 5. การออกแบบโปรแกรม (Program design) ระยะของการออกแบบโปรแกรมเป็นระยะของการวางแผนและออกแบบโดยระบุคุณลักษณะของข้อมูลเข้า (Input) ข้อมูลออก (Output) กรรมวิธีการประมวลกำหนดรายละเอียดของหน่วยเก็บข้อมูลและวิธีการควบคุมซึ่งค่าของความพยายาม (effort) ในการวิเคราะห์และออกแบบโปรแกรมขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของงานประยุกต์และจำนวนของงานในระบบโดยปกติจะเป็นการกำหนดกฎเกณฑ์ทงตรรกะและคำสั่งที่ระบุถึงการปฏิบัติงานซึ่งเรียกว่าโมดุล (modules หรือ subdivisions) โดยแต่ละโมดุลจะมีส่วนของการกำหนดค่าเริ่มต้น (initialization) ข้อมูลเข้า (input) ประมวลผล (processing) และส่วนแสดงผล (output) และส่วนของการสิ้นสุดหรือเลิกใช้ (termination) โมดุลโปรแกรมส่วนมากมีโมดุลควบคุมใช้สำหรับตรวจสอบและควบคุมการทำงานต่าง ๆ เช่น 1. ลำดับของการประมวลผล (order of processing) 2. ขั้นตอนการทำงานซ้ำ ๆ (looping) 3. เงื่อนไขยกเว้น เช่น ข้อผิดพลาดต่าง ๆ (errors) 4. สิ่งเบี่ยงเบนจากการประมวลผลปกติ (other deviations form normal processing require) 6. การเขียนคำสั่งโปรแกรม (Program coding) การเขียนคำสั่งโปรแกรมเป็นขั้นตอนในการแปลง (convert) ตรรกะที่ได้ออกแบบในระยะการออกแบบโปรแกรมให้เป็นกลุ่มของคำสั่งโปรแกรมภาษาเพื่อสั่งให้คอมพิวเตอร์ปฏิบัติตามโปรแกรมภาษาในปัจจุบันมีมากมายหลายภาษา ซึ่งเหมาะกับงานด้านต่าง ๆ ซึ่งแต่ละภาษามีการเขียนที่แตกต่างกัน ทั้งรูปแบบ กฎเกณฑ์ต่างๆ ดังนั้นผู้เขียนควรศึกษารูปแบบและกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ก่อนโปรแกรมใดๆ ที่นิยมใช้ในปัจจุบัน จะประกอบด้วยคำสั่งโครงสร้างพื้นฐาน 3 อย่างคือ 1. แบบลำดับ (Sequence) 2. แบบทางเลือก (Selection) 3. แบบวนรอบ (Loop หรือ Repetition)ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเขียนโปรแกรมโครงสร้างแบบบนลงล่าง (top-down structure) จะช่วยให้การเขียนโปรแกรมเป็นมาตรฐาน (standardizes) และเข้าใจได้ง่าย รวมทั้งการแก้ไขง่ายอีกด้วย Sequence Structure เป็นโครงสร้างลำดับ ซึ่งแสดงถึงลำดับของคำสั่งหรือการปฏิบัติงานกล่าวคือคำสั่งซึ่งอยู่ก่อนจะถูกปฏิบัติงานก่อนดังนั้นคำสั่งโปรแกรมซึ่งเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ก่อนถูกทำงานก่อน Selection Structure โครงสร้างทางเลือก หรือเรียกว่า decision หรือ IF-THEN-ELSE ก็ได้ เป็นโครงสร้างซึ่งแสดงทางเลือกของการทำงาน โดยขึ้นกับผลของเงื่อนไข โดยเงื่อนไขนี้ผลลัพธ์มี 2 ทางคือ จริง (True) และเท็จ (False) ถ้าเงื่อนไขเป็นจริงจะกระทำอย่างหนึ่ง ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จจะกระทำอีกอย่างหนึ่ง Repetition (Loop) Structure โครงสร้างวนรอบ หรือเรียกว่า DO-WHILE หรือ DO-UNTIL ก็ได้ เป็นโครงสร้างที่กระทำหน้าที่หรือคำสั่งซึ่งขึ้นกับเงื่อนไข โดยการทำงานจะเป็นการทำงานซ้ำ ๆ กัน ซึ่งจะหยุดการทำงานวนรอบก็ต่อเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ (False)7. การตรวจสอบความถูกต้องของโปรแกรม (Program Verification) การตรวจทานโปรแกรมโดยทั่วไปเรียกว่าdebuggingซึ่งเป็นระยะหนึ่งในการเขียนโปรแกรมรวมถุงการตรวจสอบ (checking) การทดสอบ (testing) และการทำให้ถูกต้อง (correction) เหราะการเขียนคำสั่งโปรแกรมใหม่ ๆ อาจเกิดข้อผิดพลาด (bugs) ได้ง่าย 7.1 ข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรม (Programming Error) ข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมสามารถแบ่งเป็น 3 ชนิดคือsyntaxerrors,logicerrors แล ะsystem design errors Syntax errors เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากการเขียนคำสั่งโปรแกรมผิดรูปแบบไวยกรณ์ของภาษา Logic errors เป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากการใช้ตรรกะผิดในโปรแกรม ซึ่งเงื่อนไขผิดมีผลให้การกระทำตามเงื่อนไขผิดไปด้วย System design errors เป็นข้อผิดพลาดจากการออกแบบระบบทำให้ผลของการทำงานไม่เป็นที่ยอมรับของผู้ใช้ซึ่งความผิดพลาดนี้ อาจเกิดจากการสื่อสารระหว่างโปรแกรมเมอร์กับผู้วิเคราะห์ระบบหรือผู้ใช้ระบบไม่ดี Syntax errors เป็นความผิดพลาดที่ค้นพบได้ง่ายกว่า logic errors เพราะสามารถตรวจพบได้ในระหว่างการทำการแปลภาษา ส่วน logic errors จะตรวจพบเมื่อโปรแกรมทำงานจนได้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้องเท่านั้น 7.2 การตรวจสอบ (checking) การตรวจสอบโปรแกรมต้องมีขึ้นระหว่างการออกแบบโปรแกรม,การเขียนโปรแกรม,การตรวจทานโปรแกรมเพื่อให้แน่ใจว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตรงตามความต้องการตามวัตถุประสงค์ที่ได้ตั้งไว้เครื่องมือที่ใช้ในการออกแบบถูกต้องตามตรรกะในการประมวลผลรวมทั้งคำสั่งโปรแกรมที่เขียนขึ้นสามารถแปลได้โดยปราศจากข้อผิดพลาดต่างๆและสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ 7.3 Structured walkthroughs เป็นเครื่องมือของการออกแบบ,เขียนคำสั่ง,ตรวจสอบข้อผิดพลาดของการเขียนโปรแกรมที่ดีซึ่งเป็นวิธีการที่ผู้เขียนโปรแกรมแสดงผลงานให้โปรแกรมเมอร์อื่นๆตรวจสอบดูซึ่งการทำงานนี้เป็นแนวคาวมคิดของการเขียนโปรแกรมเป็นทีมงานซึ่งมีการกำหนดให้พัฒนาโปรแกรมเดียวกันภายใต้การควบคุมของหัวหน้าโปรแกรมเมอร์ (chiefprogrammer) โดยสมาชิกในทีมงานจะช่วยกันตรวจดูถึงการออกแบบและการเขียนคำสั่งเป็นช่วงๆ เป็นประจำของแต่ละโมดุล ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายของการทวนสอบ (Verification) น้อยลง โดยสามารถพบข้อผิดพลาดได้ในระยะเริ่มแรกของการเขียนโปรแกรม โดยไม่ต้องคอยจนกระทั่งตรวจพบในระยะของการทดสอบโปรแกรม ซึ่งเป็นการทราบที่จะทราบว่าจุดใดที่เกิดข้อผิดพลาด ซึ่งมีผลทำให้ค่าใช้จ่ายสูงตามไปด้วย 7.4 การทดสอบ (testing) การทดสอบเป็นการตรวจสอบการทำงานของโปรแกรมโดยใช้ข้อมูลทดสอบ (testdata) เพื่อดูผลลัพธ์จากการทำงานการทดสอบที่ดีนั้นควรใช้ข้อมูลที่แตกต่างกันเพื่อให้สามารถกระทำได้ในทุกๆ เงื่อนไขในการทำงานของโปรแกรมรวมทั้งควรทดลองข้อมูลที่ไม่ถูกต้องด้วยโปรแกรมที่ดีเมื่อใส่ข้อมูลผิดๆ จะไม่เกิด error แต่จะแสดงข้อความเพื่อเตือนเท่านั้นในการเขียนโปรแกรมโครงสร้างที่ใช้โปรแกรมภาษาระดับสูงนั้นผู้ทำการทดสอบโปรแกรมสามารถแบ่งการทดสอบโปรแกรมออกเป็นส่วนๆ ซึ่งเรียกว่า โมดุล เพื่อสะดวกในการทดสอบซึ่งง่ายต่อการค้นหาข้อผิดพลาดและง่ายต่อการแก้ไขให้ถูกต้องด้วยเมื่อทดสอบโมดุลย่อยๆ เหล่านี้จนไม่มีข้อผิดพลาดจึงนำมาเป็นโปรแกรมหลักอีกครั้งหนึ่ง การทดสอบโปรแกรมกรณีที่ต้องให้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นมาแทนที่การประมวลผลเก่าซึ่งกำลังดำเนินอยู่การทดสอบต้องกระทำขนานกันไปกับระบบเก่าซึ่งเรารียกการประมวลผลนี้ว่า parallel processing ดังนั้นการทดสอบระบบต้องทดสอบจนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถกระทำแทนที่ระบบเก่าได้จึงจะนำเอาการปฏิบัติงานของระบบเก่าออกไปได้ 8. เอกสารโปรแกรม (Program documentation) เป็นเอกสารซึ่งบันทึกรายละเอียดของการออกแบบการเขียนคำสั่งซึ่งมีประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ความผิดพลาดของโปรแกรม การแก้ไขปรับปรุงโปรแกรมหรือการรวมโปรแกรมกรณีเกิดการสูญหาย โดยเฉพาะโปรแกรมเมอร์หลักที่เขียนโปรแกรมเกิดลาออกไป ดังนั้นควรเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆ เอาไว้9. การบำรุงรักษาโปรแกรม (Program maintenance) ขั้นตอนสุดท้ายในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเริ่มหลังจากโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาขึ้นนั้นเป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้และได้ปฏิบัติงานมาแล้วชั่วระยะเวลาหนึ่ง ต่อมาเกิดความจำเป็นบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ต้องการปรับปรุงระบบให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น หรือต้องการแก้ไขหน้าที่บางอย่างหรือต้องการขยายขีดความสามารถของโปรแกรม หรืออาจเกิดจากความผิดพลาดในโปรแกรมต้องการแก้ไขให้ถูกต้อง โดยอาจมีผลมาจากนโยบายของบริษัทที่เปลี่ยนไป หรือระเบียบทางราชการบังคับ หรือการแข่งขันทางธุรกิจ ฯลฯ การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้กับทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของระบบ การบำรุงรักษาเป็นหน้าที่หลักของการประมวลผลข่าวสารของหน่วยงานเกี่ยวของกับการวิเคราะห์ การออกแบบ การเขียนคำสั่ง การตรวจสอบ การเปลี่ยนแปลงเอกสารให้ทันสมัย ซึ่งจะมี Maintenance Programmers เป็นผู้ที่รับผิดชอบหน้าที่บำรุงรักษาโปรแกรม ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้เขียนโปรแกรมกับผู้ที่บำรุงรักษาโปรแกรมจะเป็นคนละทีมงานกัน ดังนั้นจึงเป็นการยากที่ต้องแก้ไขโปรแกรมที่ไม่ได้พัฒนาขึ้นมา ดังนั้นสิ่งสำคัญของการเขียนโปรแกรมโครงสร้างจะช่วยให้การเขียนโปรแกรมเป็นมาตรฐานและทำให้ง่ายต่อการอ่านและเข้าใจ
ในภาษาปาสคาล ไฟล์คือโครงสร้างข้อมูลแบบหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยลำดับของข้อมูลที่มีรูปแบบตามชนิดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ถูกเก็บอยู่ในหน่วยความจำภายนอก(External Storage) เช่นในฮาร์ดดิสก์ หรือแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ เป็นต้น ความจำเป็นเกี่ยวกับไฟล์มีดังนี้
1) การเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และจำเป็นต้องใช้กับโปรแกรมนานๆเพื่อทำให้สามารถเรียกข้อมูลเหล่านั้นกลับมาใช้ได้ใหม่ทุกครั้งที่ต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องป้อนข้อมูลนั้นใหม่
2) ข้อมูลมีขนาดใหญ่เกินกว่าหน่วยความจำภายในของเครื่องคอมพิวเตอร์ จึงจำเป็นต้องเก็บข้อมูลบางส่วนไว้ในไฟล์ แล้วจึงเรียกใช้ข้อมูลเฉพาะตัวที่กำลังต้องการใช้งานเท่านั้น
ในเทอร์โบปาสคาล จะมองข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ได้ 3 ลักษณะ คือ
ข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์กำหนดชนิด จะเป็นข้อมูลที่สร้างขึ้นด้วยภาษาปาสคาลเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโครงสร้างข้อมูลเป็นชนิดเรคอร์ดโดยจะต้องมีการกำหนดลักษณะโครงสร้างไว้ล่วงหน้า ในส่วนของการประกาศชนิดตัวแปร เพื่อให้โปรแกรมสามารถรับรู้โครงสร้างของข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์นั้น เพื่อจะได้อ่านข้อมูลได้ถูกต้อง แต่ถ้าประกาศโครงสร้างข้อมูลในโปรแกรมไม่ถูกต้องไม่ตรงตามโครงสร้างของข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ โปรแกรมก็จะอ่านข้อมูลจากไฟล์นั้นแล้วตีความหมายของข้อมูลผิดพลาดไม่ตรงกับข้อมูลที่เก็บอยู่จริง ข้อมูลแต่ละตัวที่เก็บอยู่จริงในไฟล์จะมีขนาดเท่ากันหมดทุกตัว และเท่ากับขนาดของข้อมูลที่จองไว้ โดยข้อมูลจะถูกเก็บเรียงลำดับทีละตัวจนกระทั่งหมดข้อมูลแล้วจะมีรหัสบอกการจบไฟล์ (End of file :
รูปที่ 1 การจัดข้อมูลแบบไฟล์กำหนดชนิด
ข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ข้อความจะเป็นข้อมูลที่ถูกสร้างด้วยรหัสASCII เช่นเดียวกับชนิดข้อมูลสตริง ข้อมูลแต่ละบรรทัดในไฟล์ถือเป็นสตริง 1 ตัว โดยข้อมูลที่เก็บอยู่จริงในแต่ละบรรทัดนั้นจะมีจำนวนเท่าที่เป็นจริงแต่ต้องยาวไม่เกิน 255 ตัวอักษร (เนื่องจากตัวแปรที่นำมาใช้รับข้อมูลจากไฟล์ เป็นชนิดสตริงซึ่งเก็บข้อความได้ไม่เกิน255 ตัวอักษร) เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการเก็บ โดยมีรหัสเพื่อบอกการสิ้นสุดของข้อมูล(Carriage Return:
การอ่านข้อมูลจากไฟล์ตัวอักษร เทอร์โบปาสคาลจะอ่านข้อมูลทีละบรรทัด แล้วนำมาเก็บไว้ในตัวแปรที่จองไว้ซึ่งมีชนิดเป็นสตริง โดยการอ่านข้อมูล จะต้องอ่านเรียงลำดับตั้งแต่บรรทัดแรก จนถึงบรรทัดสุดท้ายไม่สามารถอ่านข้ามบรรทัด หรือเลือกอ่านเฉพาะบรรทัดที่ต้องการข้อมูลโดยไม่ผ่านการอ่านบรรทัดที่อยู่ก่อนหน้านั้นได้
รูปที่ 2 การจัดข้อมูลแบบไฟล์ตัวอักษร
ชนิดข้อมูลทั้งชนิดไฟล์ข้อความ และไฟล์กำหนดชนิดนั้น ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องรู้จักโครงสร้างของข้อมูลที่เก็บอยู่ในไฟล์ ซึ่งจะต้องเป็นโครงสร้างที่ตรงตามแบบข้อมูลที่ ปาสคาล มีอยู่ ถ้าในกรณีที่ไฟล์ที่เรากำลังสนใจอยู่นั้น ไม่ได้สร้างจากโปรแกรมภาษาปาสคาลโดยตรง และไม่ได้มีรูปแบบเป็นไฟล์ข้อความ โปรแกรมจะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าข้อมูลที่อ่านได้มีรูปแบบการเก็บข้อมูลอย่างไร เช่น กรรมวิธีการจัดเก็บตัวเลข ตัวอักษร ฯลฯ ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของผู้เขียนโปรแกรมเอง ที่จะต้องวิเคราะห์ว่า จะแปลงข้อมูลที่อ่านได้ ไปเป็นข้อมูลในโครงสร้างของภาษาปาสคาลได้อย่างไร เพื่อที่โปรแกรมจะได้นำข้อมูลไปใช้ได้ การอ่านข้อมูลที่ไม่รู้จักโครงสร้างแบบนี้โปรแกรมสามารถอ่านข้อมูลได้ทีละมากๆ(ครั้งละกี่ตัวก็ได้) โดยโปรแกรมจะมองลักษณะของข้อมูลเป็นกลุ่มของตัวเลข(ฺBYTE) หรือกลุ่มของตัวอักษร(Char) ซึ่งจะต้องมีการจองตัวแปรชนิดอาร์เรย์ของไบท์ หรือของชนิด มีรูปแบบดังรูปที่ 3
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น